ดิ อีเกิลส์ (อังกฤษ: The Eagles) เป็นวงอเมริกันร็อก ก่อตั้งวงในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ในช่วงต้นทศวรรษที่ 70 สมาชิกในปัจจุบันคือ เกลนน์ เฟรย์, ดอน เฮนลีย์, ทิโมธีบี ชมิท และโจ วอล์ช
อีเกิลส์ ประสบความสำเร็จ ด้วยการติดอันดับที่ 1 บิลบอร์ดชาร์ทด้วยกันถึง 7 เพลง , 6 รางวัลแกรมมี , 5 รางวัลอเมริกันมิวสิคอวอท มีอัลบั้มอันโด่งดังเช่น "โฮเทล แคริฟอเนีย" ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร โรลลิงสโตนในหัวข้อ "500 อัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" ให้อยู่อันดับ 37
อิเกิลส์ จึงนับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ 70 โดยตั้งแต่ตั้งวงเป็นต้นมา สามารถจำหน่ายเพลงไปแล้วมากกว่า 120 ล้านแผ่นทั่วโลก โดยขณะที่สหรัฐประเทศเดียวจำหน่ายได้ถึง 100 ล้านแผ่น
เฟรย์ และ เฮนลีย์ ได้รับการว่าจ้างเป็นวงดนตรีแบ็คอัพของ ลินดา รอนสตัดท์ ในฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2514 ส่วน ไมส์เนอร์ และลีดัน ร่วมเป็นนักดนตรีแบ็คอัพในการทัวร์คอนเสิร์ตฤดูร้อน ของ ลินดา รอนสตัดท์ เช่นกัน โดยทั้ง 4 เปิดแสดงโชว์เล็ก ๆ ร่วมกันครั้งนึง ที่ ดิสนีย์แลนด์
เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2514 ทั้ง เกลนน์ เฟรย์, ดอน เฮนลีย์, เบอร์นี่ ลีดอน และ แรนดี ไมส์เนอร์ เซ็นสัญญากับบริษัทแผ่นเสียง แอสไซลัม เรคคอร์ด หลังจากนั้นไม่นานจึงตั้งชื่อวงว่า ดิ อีเกิลส์ ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 บินไปอังกฤษและ ใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการบันทึกเสียงผลงานชุด The Eagles โดย กลีน จอห์นส์ ทำหน้าที่ควบคุมการผลิต และวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน มีเพลงดังอย่าง "Take It Easy" และ "Hotel California" เป็นต้น
ดิ อีเกิลส์ออกตระเวนทัวร์คอนเสิร์ตตลอดปี พ.ศ. 2515 จนกระทั่งถึงต้นปี พ.ศ. 2516 และบินไปอังกฤษอีกครั้งพร้อมกับ กลีน จอห์นส์ เพื่อบันทึกเสียงผลงานชุดที่ 2 Desperado ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพวกนอกกฎหมาย และวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2516 มีเพลงดังอย่าง "Tequila Sunrise" และ "Desperado"
หลังจากนั้นพวกเขามารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อผลิตผลงานชุดที่ 3 กับ ผู้ควบคุมงานดนตรี กลีน จอห์นส์ ได้เกิดความขัดแย้งกันด้านแนวความคิด พวกเขาแยกกันทำงานภายหลังจากอัดเสียงไปได้เพียง 2 เพลงเท่านั้น คือ "You Never Cry Like a Lover" และ "The Best of My Love"
ภายหลังการทัวร์คอนเสิร์ตตอนต้นปี พ.ศ. 2517 โจ วอล์ชได้จ้างโปรดิวเซอร์ บิล ซิมซิค มาทำงานดนตรีที่เหลือทั้งหมดใน ผลงานชุด On the Border โดย บิล ได้นำ ดอน เฟลเดอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของ เบอร์นีย์ ลีดอน ทุกคนในวงประทับใจและยินดีที่ได้ร่วมงานกับสมาชิกใหม่ ผลงานชุด On the Boarder วางจำหน่ายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2517 สามารถทำสถิติผลงานชุดที่ขายได้รวดเร็วที่สุดของดิ อีเกิลส์ และในเดือนเดียวกันนั้นเองผลงานซิงเกิลแรก "Already Gone" พุ่งเข้าสู่ท็อป 20 แต่บทเพลงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในผลงานชุดนี้และทำให้ ดิ อีเกิ้ลส์ และมีเพลงดังอันดับ 1 ในอเมริกาอย่าง "The Best of My Love"
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2518 ได้ออกผลงานชุดที่ 4 ชุด One of These Nights ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยสามารถคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำ ในเดือนเดียว และทะยานสู่อันดับหนึ่งในเดือนกรกฎาคม พร้อมกับ 3 ซิงเกิ้ลยอดนิยมที่ไต่อันดับเข้าสู่ 1 ใน 5 ไม่ว่าจะเป็น บทเพลงที่พุ่งสู่อันดับหนึ่ง อย่าง "One of These Nights", "Lyin' Eyes" และ "Take It to the Limit" โดยเพลง "Lyin' Eyes" ได้รับรางวัลแกรมมี ประจำปี 2518 สาขาการร้องเพลงป็อปยอดเยี่ยม โดยนักร้องกลุ่มหรือประสานเสียง นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ผลงานชุดยอดเยี่ยมแห่งปี ส่วนซิงเกิ้ลเพลง "Lyin' Eyes" ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลแผ่นเสียงยอดเยี่ยมแห่งปี
เบอร์นี่ย์ ลีดอน ลาออกจากวง และต่อมาได้รับ โจ วอล์ช เข้าร่วงวง และออกทัวร์คอนเสิร์ตด้วยกันในทันที และออกผลงานรวมฮิต ชุด อีเกิ้ลส์ : แดร์ เกรทเทสท์ ฮิตส์ 1971-1975 ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 โดยคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว จากยอดจำหน่ายกว่า 1 ล้านแผ่น
ผลงานชุดที่ 5 Hotel California ออกวางขายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2519 โดยคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ และขึ้นสู่อันดับหนึ่งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2520 และต่อมาสามารถสร้างยอดจำหน่ายได้กว่า 10 ล้านแผ่น มีเพลงดัง "New Kid in Town" และ "Hotel California" ขึ้นอันดับหนึ่งในอเมริกา นอกจากนี้เพลง "Hotel California" ยังคว้ารางวัลแผ่นเสียงยอดเยี่ยมแห่งปี ในการประกาศ รางวัลแกรมมี่ ประจำปี พ.ศ. 2520
ต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2520 พวกเขาเริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก โดยเริ่มต้นจากสหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน แล้วไปยุโรปและตะวันออกไกลอีกหนึ่งเดือน และกลับมาในสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤษภาคม เมื่อจบทัวร์ในเดือนกันยายน แรนดี้ ไมส์เนอร์ตัดสินใจลาออกจากวง โดยมีสมาชิกใหม่เข้ามาแทนที่ นั่นคือ ทิโมธี่ บี ชมิท
ดิ อีเกิลส์เริ่มต้นทำผลงานชุดใหม่ โดยใช้เวลานานเกือบหนึ่งปีครึ่ง The Long Run ออกจำหน่ายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2522 อัลบั้มชุดนี้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งและได้รับรางวัลแผ่นทองคำขาวอยู่หลายแผ่น ส่วน Heartache Tonight ไต่ขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งในอเมริกา ส่วนเพลง "I Can't Tell You Why" สูงสุดที่อันดับ 8 และ "The Long Run" เข้าสู่อันดับ 8 บนอันดับของชาร์ทซิงเกิ้ลเช่นกัน นอกจากนี้เพลง "Heartache Tonight" ได้รับ รางวัลแกรมมี่อวอร์ด สาขาการร้องเพลงร็อกยอดเยี่ยมโดยนักร้องกลุ่มหรือประสานเสียง ในปี พ.ศ. 2522
และได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2523 และบันทึกผลงานชุด การแสดงสด Eagles Live และยังได้ออกผลงาน แอล.พี. คู่ (Double L.P.) ออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2523 และติดอันดับเพลงยอดนิยม 1 ใน 5
ดิ อีเกิลส์ประกาศแยกวงอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2525 สมาชิกทั้ง 5 ต่างแยกย้ายมีผลงานเดี่ยวของตนเอง จนกระทั่งได้กลับมารวมวงใหม่ โดยบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตพิเศษของ MTV ในฤดูร้อนปี พ.ศ. 2537 และมีผลงานออกวางจำหน่ายตามมาในเดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้น ทางวงออกผลงานชุด Hell Freezes Over ซึ่งขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ท และมียอดจำหน่ายได้หลายล้านแผ่น ซึ่งมีเพลงใหม่อย่าง "Get Over It" ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 40 ของ ชาร์ทเพลงป็อบ และเพลง "Love Will Keep Us Alive"
ดิ อีเกิลส์รวมกันอีกครั้งเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2541 โดยได้รับการบันทึกในทำเนียบ ร็อก แอนด์ โรล ฮอล ออฟ เฟม ซึ่งมีทั้งสมาชิกวงปัจจุบันและอดีตสมาชิกอย่าง ลีดอน และ ไมส์เนอร์ และต่อมาวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ได้แสดงคอนเสิร์ตส่งท้ายสหัสวรรษที่ สเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ ใน ลอสแอนเจลิส โดยมีการบันทึกเสียง และรวบรวมไว้ในผลงานชุดรวมฮิต Selected Works 1972 - 1999 วางขายเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543
ในปี พ.ศ. 2550 กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม Long Road Out of Eden ที่วางขายในร้าน วอล-มาร์ต และ Sam's Club ซึ่ง ณ ขณะนั้นบิลบอร์ดไม่นับยอดขายที่ขายผ่านทางร้านขายปลีกแบบรายเดียวนี้เข้าไปด้วย แต่ก่อนที่จะประกาศอันดับเพียง 24 ชั่วโมง บิลบอร์ดได้ออกมาประกาศกฎใหม่ ทำให้อัลบั้ม Long Road Out of Eden ขึ้นอันดับ 1 ไปได้ ทำให้อัลบั้ม Blackout ของบริทนีย์ สเปียร์สซึ่งวางขายในสัปดาห์เดียวกันอยู่ที่อันดับ 2